เชื่อว่าทุกวันนี้เราทุกคนต่างก็เจอกับปัญหาต่างๆ มากมายรอบตัว ที่พยายามแก้ไขเท่าไรมันก็ไม่หมดซะที และไหลเข้ามาเรื่อยๆ เราจะมาทำความเข้าใจกันว่า ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นได้ แล้วทำไมมันถึงแก้ได้ยากเหลือเกิน
ก่อนอื่น ต้องบอกว่าปัญหาในปัจจุบันหลายๆ อย่างที่เราเจอมีลักษณะเป็น "Complex Problem" ซึ่งแตกต่างจาก Problem ธรรมดา ถ้าพวกเราลองนึกย้อนถึงสมัยเราเรียนมัธยม หรือแม้แต่มหาวิทยาลัย เราจะเจอโจทย์ปัญหาในข้อสอบ หรือ Problem เป็นปกติ แต่เราก็สามารถแก้โจทย์เหล่านั้นได้ ด้วยวิธีการที่แน่นอน [ถ้าเราเตรียมตัวอ่านหนังสือมาดีนะครับ :)]
แต่ในชีวิตจริง ปัญหาต่างๆ มันไม่ได้มีสูตรตายตัวที่สามารถแก้ได้ มันจึงมีความ Complex หรือซับซ้อน เพราะว่า
มีตัวแปร หรือปัจจัยหลายปัจจัยมาสัมพันธ์กันแบบซับซ้อน
มีปัจจัยที่ไม่แน่นอน หรือคาดเดาไม่ได้มาเกี่ยวข้อง เช่น COVID, การพัฒนาของเทคโนโลยี
ตัวอย่างของ Complex Problem เช่น การแก้ปัญหายากจน การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่มีปัจจัยหลายๆ อย่างซ้อนทับกัน และไม่สามารถมีสูตรสำเร็จที่แก้ได้ง่ายๆ
แล้วเราจะแก้ปัญหาในลักษณะนี้อย่างไรดีล่ะ? ในเชิงทฤษฎีนั้นมีแนวทางของ Complex Problem Solving หลายรูปแบบ แต่สามารถสรุปได้ดังนี้
เราต้องมองให้เห็นเงื่อนไขต่างๆ ของสถานการณ์ ว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบปัญหานี้คืออะไรบ้าง เช่น ถ้าเราจะวางแผนธุรกิจของเราใน 3 ปีข้างหน้า เราอาจต้องคิดว่า มีปัจจัยอะไรเกี่ยวบ้าง เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามา นโยบายภาครัฐ เป็นต้น
การร่วมกันคิดหาทางออกด้วยคนที่หลากหลาย ไม่ใช่ด้วยคนเดียว หรือคนกลุ่มเดียว เช่น ต้องให้หลายๆ แผนกในบริษัท มาช่วยกันระดมสมองหาไอเดีย
การคิดถึงสถานการณ์ หรือ Scenario ที่น่าจะเป็นไปได้ที่มากกว่า 1 อย่าง และแต่ละ case จะรับมืออย่างไรได้บ้าง
ลงมือทำ โดยเป็นการ trial and error คือลองทำ แล้วติดตามดูผลลัพธ์ เพราะการแก้ Complex problem ไม่มีสูตรตายตัว เราต้องลองทำและติดตามประเมินผลว่าสิ่งที่เราคิด มันถูกต้องไหม
สุดท้ายเราต้องตระหนักไว้ว่า solution ของ complex problem มันไม่มีทางสมบูรณ์และไม่มีทางถูกใจทุกคน